Ghost Rider 2 Spirit of Vengeance (2011) โกสต์ ไรเดอร์ : อเวจีพิฆาต ดูหนัง กลับมาอีกแล้วกับโกสต์ไรเดอร์ที่ครั้งที่ผ่านในปี 2007 ทำเอาแทบจะสิ้นชื่อไปเลยเนื่องจากว่าว่า”ยังขาดน้ำหนัก” สำหรับภาคนี้มีเรื่องราวต่อจากคราวที่แล้ว แต่ยังไม่ใช่จะตรงตามเรื่องราวแบบถูกกฎระเบียบนิ้ว เพราะเหตุว่าครั้งนี้จอห์นนี่ เบลซ (Nicolas Cage) ดารานำชายพวกเราควบคุมพลังโกสต์ไรเดอร์มิได้ ทำนองว่าจะออกก็ออกไม่ตั้งใจต้องการที่จะให้ออกก็ดันออกว่างั้น ไม่ถูกกับภาคแรกที่ศึกษาควบคุมพลังได้ดังใจ
สำหรับเรื่องราวเกิดขึ้นภายหลังภาคแรกที่จอห์นนี่จำเป็นต้องต่อสู้กับคำแช่งตนเอง โดยมานะยั้งไม่ให้ตนเองแปลงร่างเป็นหัวกระโหลกไฟ แต่ว่าแล้วเกิดเหตุวุ่นวายที่ส่งผลเสียถึงเขาพอดิบพอดี ทำให้จะต้องไปจัดแจงพวกผู้ร้ายคนไม่ดีที่ปรารถนาตัวเด็กเดนนี่ (Fergus Riordan) ไม่เคยรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่เพียงแค่ทราบเพียงแค่ว่าบางทีอาจโดนจับตัวไปเพื่อประกอบพิธีบางสิ่ง
เนื่องจากว่าคำพยากรณ์ที่ว่าเด็กผู้ชายคนนี้มีพลังผีที่จะทำลายโลก จนถึงจะต้องงานเข้าจอห์นนี่ตามหาตัวเด็กปัญหาเพื่อนำมาเปลี่ยนข้อตกลงกับหัวหน้าบรรพชิต (Christopher Lambert) ที่ว่าจะถอนคำสาปแช่งโกสต์ไรเดอร์ในตัวเขาออกไป จอห์นนี่ต้องใช้พลังของเขาเอาเด็กขึ้นมาให้ได้ แต่ว่ายิ่งเรียกตัวเพิ่มมากขึ้นเขาก็ยิ่งทราบบางสิ่งเกี่ยวกับศัตรูของเขาที่ไม่ธรรมดา เพราะเหตุว่าเป็นถึงปีศาจที่เคยมอบพลังกับเขานั้นเอง
สำหรับโกสต์ไรเดอร์ในภาคนี้มีจุดหมายอยู่สองประการเป็นการกลับมาของหนังตรีภาคเพื่อกู้หน้าตาตนเองให้ออกมาดีเพิ่มขึ้นกับการสั้นคืนหนังฟอร์มใหญ่ของดารา Nicolas Cage บ้านพักข้างหลังหันไปปั้มหนังเกรดบีจนถึงความโด่งดังเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะผู้แสดงฟอร์มต่ำเตี้ยเรี้ยดินแทน ซึ่งแน่ๆว่าการกลับมาคราวนี้บางทีอาจจะรู้สึกเป็นการรีบู้ตมากกว่า แต่ว่าผู้ที่เล่นเป็นภูติผีกระโหลกไฟยังเป็นเจ้าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เพียงแค่แปลงลุดนิดหนึ่งจากทรงจำปิดหน้าผากมาปลดปล่อยตามแบบฉบับดารานำชายหัวเถิกส่วนตัวผู้กำกับยังเปลี่ยนไปใช้บริการคู่ขาไฟแรงสูงที่แวดวงฮอลลีวู้ดอย่าง Mark Neveldine แล้วก็ Brian Taylor ซึ่งพวกเราจะทราบจัดพวกเขาอย่างยอดเยี่ยมแบบไม่ลืมเลือนในผลงานครั้งที่แล้วในเรื่อง Crank (2006) อันหวือหวาชักชวนเพ้อคลั่งระห่ำ แล้วก็ Gamer (2009) หนังคนเล่นเกมส์สุดหยาบคายที่ใช้คนเป็นตัวละครหลวงเรื่อง
ซึ่งในภาคนี้ที่พวกเขาได้ออกสตาร์ทบอกถึงรูปแบบของ Ghost Rider: Spirit of Vengeance ในแบบที่ดียิ่งกว่าหลายเท่าในภาคก่อน ทั้งยังดุเดือดกว่า รุนแรงกว่า และก็แรงกว่าภาคแรกหลายเท่าตัว ซึ่งมันเป็นอย่างที่บอกจริงๆด้วยลายเซ็นของคู่ซี้ผู้กำกับได้ทำขึ้นได้กระจ่างอย่างที่แถลงเอาไว้แบบไม่พลาดตกผิดพลาดจากความสามารถของตนแม้แต่น้อย
Mark Neveldine กับ Brian Taylor ได้สร้าง Ghost Rider ภาคนี้ด้วยความเต็มเปี่ยมทางด้านเอฟเฟคที่ให้รายละเอียด CGI จำพวกเนียบเนียนอย่างที่สุด ทั้งยังหัวกระโหลกไฟที่มองเป็นไฟลุกโชนขึ้นจริงๆไม่ถูกกับภาคแรกที่ยังลงไม่ลึกขนาดมีควันขึ้นออกมาลอยกลางอากาศ หรือจะจักรยานยนต์ที่ออกแบบใหม่ให้ชักชวนดาร์คกว่าของโบราณจนกระทั่งดำทั้งยังคัน เวลาขับมอเตอร์ไซน์ตอนแปลงตัวเป็นโกสต์ไรเดอร์แล้วนั้นชักชวนให้รู้สึกถึงพวกไม่แปลงน้ำมันเครื่อง ในแต่ละฉากขับทีนี่แบบว่าโลกร้อนด้วยเหตุว่ารถยนต์ของมันมั่นใจ ควันเรียกตัวมาเป็นโขมง ไม่บอกก็รู้ว่าดาร์คมากแค่ไหน สารภาพว่าเรื่องเอฟเฟคทำเป็นดีเกินคาดจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากขับขี่รถเครนที่เปี่ยมยอดเยี่ยมบ้าพลัง แม้กระนั้นที่ห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดเลยเป็นอาการแฮงค์ที่เป็นลายเซ็นของผู้กำกับที่จะต้องมุมกล้องถ่ายภาพไม่นิ่ง ประเดี๋ยวเข้าประเดี๋ยวออก เหวี่ยงไปๆมาๆ ชักชวนปวดศรีษะหน้ามืดลายตา ออกมาให้ผู้ชมได้ดูกันอยู่แทบจะตลอดทั้งเรื่อง สมราคาคุยในเรื่องความวิปลาสจริงๆแต่ข้อด้อยเรื่องมุมกล้องถ่ายภาพกลับมีปัญหาเฉพาะคนโดยมากที่รับไม่ค่อยไหว เพราะเหตุว่าเชิญวิงเวียนเพราะว่ามันเหวี่ยงแล้วเหวี่ยงอีกจนกระทั่งบางทีอาจไม่ชอบใจจนถึงอารมณ์เสียก็มี ด้วยเหตุนั้นเรื่องของกล้องถ่ายภาพก็ตามทีจะถูกใจล่ะนะ
แต่ว่าโดยส่วนถูกใจเรื่องมุมกล้องถ่ายภาพแบบเหวี่ยงอย่างงี้ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเชิญชวนลุ้นสนุกดี แถมยังรู้สึกสาแก่ใจเวลาอยู่ใกล้ๆนักแสดงที่ปล่อยของกันแบบสุดๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าท่าทางการแสดงของ Nicolas Cage ในฉากแปลงกายที่ประเดี๋ยวค่อยแปลงร่างครั้งละนิด ซึ่งในจังหวะนั้นได้ภาพที่จุดโฟกัสเฉพาะหน้าตาเอาไว้ที่กำลังคลายอารมณ์สุดฤทธิ์สุดเดช ทั้งยังร้อง อีกทั้งว้าก หัวเราะ เหมือนคนวิกลจริตเลยไม่ปาน
ก็ไม่แปลกหรอกว่าเพราะเหตุไรจำเป็นต้องแสดงได้รุนแรงขนาดนั้น เพราะว่าเพื่อเรียกความพึงพอใจให้กลับมาอีกครั้งหนึ่งได้แก่ที่ตนเองได้ทิ้งความวิปลาสโรคทางจิตใน Face/Off (1997) นอกเหนือจากการที่จะมีผู้แสดงนำชายของพวกเราที่ต้องการกลับมาบ้างแล้วยังมีนักแสดงอยู่คนหนึ่งที่เล่นเป็นบรรพชิตเป็นChristopher Lambert ที่รู้จักจากบทเทวดาสายตาลอร์ด เรย์เดนในหนังต่อสู้มันเหิมใจใน Mortal Kombat (1995) ในทางผู้แสดงอื่นๆยังคงมาตรฐานตามหน้าที่ของตนเองถัดไปเรื่อยไม่ว่ากัน Ghost Rider 2 Spirit of Vengeance
เรื่องราวของวีรบุรุษสุดดาร์คไม่จบที่การมีเอฟเฟคดีเลิศเพียงแค่เดียวแค่นั้นที่น่าละลานตา เพราะว่ายังเรื่องของดนตรีร็อคมาประกอบที่บางบุคคลสงสัยว่ามันตามจังหวะที่ไหน แม้กระนั้นส่วนตัวกลับถูกใจไม่น้อยที่เชื้อเชิญรู้สึกปล่อยตนเอง แม้ว่าจะไม่ถึงขนาดพาตื่นเต้นในบางมุมมองก็ตาม นี่แหละจุดเด่นในภาคนี้ที่ไม่เหมือนกันออกไปจากภาคแรกที่เสมือนจะปรับปรุงมาไม่น้อยทีเดียว แต่ทว่าข้อผิดพลาดคือปัญหาใหญ่ยักษ์ระดับพาหนังเสียไปเลย ด้วยเหตุว่ามัวแต่เพิ่มความมันส์เอ่ย เอฟเฟคเอ่ย กระทั่งลืมเรื่องราวที่จบดำเนินได้ง๊ายง่ายไม่ได้แตกต่างกับภาคแรก
ไม่สิจะต้องกล่าวว่าผลสรุปออกมาง่ายดายยิ่งกว่าอีก ยิ่งฉากต่อสู้กันในด้านหลังเรื่องเหมือนจะมามันตัวต่อตัวเจริญแล้วเชียว ดันแปลงเป็นว่า”อ้าวตายแล้ว” หรือจะตอนจัดแจงภูตที่แบบว่าปอกกล้วยเข้าปากชัดๆไม่รู้เรื่องเลยว่าเพราะเหตุใดภูตถึงกระจอกงอกง่อยขนาดนั้นได้ในขณะที่ตนเองมอบพลังให้แท้ๆหากถามคำถามว่าแอ็คชั่นในส่วนฉากอื่นๆก็ว่านอนสอนง่ายอีกล่ะ ไม่มีอะไรที่ตื่นเต้นละลานตาหรือพูดว่าสุดสนุกได้เลย ที่ดีเป็นเรื่องของเอฟเฟคที่ให้รายละเอียดได้แม่น กับดนตรีประกอบที่ช่วยเอามันขึ้นได้บ้าง ตกลงว่าคนดีไซน์ฉากแอ็คชั่นอาจจำเป็นต้องปรับแต่งอย่างมากเลยล่ะ
มีจุดที่แปลกกว่าภาคแรกเป็นความมึนเมาของผู้กำกับที่ฟรีสไตล์ตามใจตนเอง ซึ่งคงจะเข้าใจดีแล้วว่ามีอะไรบ้างนับตั้งแต่เรื่องมุมกล้องถ่ายภาพ ตลอดจนทรรศนะวิสัยการเล่าเรื่องอันวาดเหวี่ยง แต่ว่าที่มีความรู้สึกว่าประเด็นนี้เป็นหนังที่ค่อนข้างจะน่าผิดหวังเป็นการเอาความตายตัวมาใช่โดยไม่คิดมากมาย แล้วจัดหนักในสิ่งที่คิดว่าสะดุดตาสูงที่สุด
ซึ่งเป็นเคล็ดลับ CGI นั้นเองสำหรับประเด็นนี้ พินิจได้ว่าผู้กำกับคู่ซี้สองท่านนี้มีแต่ว่าหนังว่าง่าย จะมีที่เด่นเป็นการเล่าด้วยเอกลักษณ์ของตนเองตลอดจนความสนุกสนานร่าเริงอันหวือหวา วิธีการแบบนี้อาจจะส่งผลให้ภาพพจน์ของหนังสนุกสนานก็จริง แต่ทว่าใช้ไม่ได้อย่างกับเรื่อง Crank เสมอ มองได้จากเงื่อนหัวข้อที่ใกล้กับผู้แสดงมาด้วย ถ้าเกิดเป็นแอ็คชั่นบ้าหลุดโลกแบบไม่เกรงใจก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาอาจไม่ต้องชี้แจงอะไรเพิ่ม เพราะเหตุว่าทราบดีว่าเว้นแต่ยิงกันเพื่อมันแล้ว
ด้านสาระนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องกล่าวถึงในโลกความร้ายแรง แต่ทว่าตัวหนังลงได้ตื้นอย่างยิ่งเกี่ยวกับผู้แสดงทั้งหลายแหล่จนถึงเป็นเพียงแต่ตัวประกอบอันไม่น่าจำนอกเหนือจากบริเวณใบหน้ากับชื่อ โชคร้ายที่วัตถุดิบคุณภาพดีอย่างประเด็นนี้ยังถูกเมินจากการเล่าอันแสนเรียบง่าย นี่ถ้าเกิดเอาเข้าจริงมันจะเป็นอีกหัวข้อที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งสำหรับการตีความหมายในหลายๆแง่กับความชั่ว คุณความดี สรรค์บนดิน แดนนรกบนฟ้า รวมทั้งสามารถเอามาเปรียบเทียบกับแนวปรัชญาได้อย่างสบายๆ
เนื่องจากว่าว่ามีครึ่งปกติ(ยอดห่วยแตก)ครึ่งหนึ่งยอดเยี่ยม(ทางภาพ CGI)น่าจะละลานตากันไม่น้อยที่มองเห็นควันดำกับรถยนต์ที่เป็นโคนตะโกแบบนั้น รวมทั้งแน่ๆว่าหากผู้ใดรับทราบถึงวีรบุรุษที่ยอดเยี่ยมในเวลานี้อย่างกางทแมนของผู้กำกับ Christopher Nolan แล้วถือว่ามีความทะยานอยากสำหรับการเรียบเรียงรายละเอียดที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง รวมทั้งโกสต์ไรเดอร์ต้องมีภาพลักษณ์อย่างงั้นบ้างสิ่งเดียวกัน เนื่องจากว่าว่าภาคนี้มีรายละเอียดเล่าถึงเงื่อนของจอห์นนี่ที่ไม่ต้องการที่จะอยากได้พลังไรเดอร์มาครองอีกต่อไปจนกระทั่งส่งผลให้จำต้องหนีไปอยู่ในยุโรปตะวันออก
ด้วยเหตุว่าเอางานเอฟเฟคมากมายไป ในที่สุดรายละเอียดเกือบจะโดนทิ้งลงขยะเกือบจะหมด หัวข้อเรื่องคุณงามความดี ความชั่วที่ตั้งมาในที่มาของเรื่องก็หายไปอย่างไม่มีสายสัมพันธ์ปลิ้วไปกับสายลม ถ้าหากเปรียบดังกระดาษอาจจะไม่มีคุณค่าอะไรเลยเมื่อเอามาเผาจนถึงเหลือแค่ละอองที่ไร้ประโยชน์ ดังนั้นพล็อตที่กล่าวออกมาแปลงเป็นสูตรสำเร็จไม่มีเนื้อหารายละเอียดเพิ่ม ช่วงนี้คงจะได้แม้กระนั้นหวังถัดไปว่าวีรบุรุษดาร์คโกสต์ไรเดอร์จะกลับมาลุกไหม้อีกรอบได้หรือไม่ ซึ่งนี่ก็สองครั้งแล้วที่ยังน่าประทับใจดังที่อยากได้เลย เว้นแต่ว่าเอฟเฟคที่ดีแน่ๆ