สงครามและการเมือง นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รับรู้ถึงความระอุของสงครามระหว่าง ยูเครน และ รัสเซีย กันอย่างแน่นอน เพราะไม่ใช่แค่เพียงการทำสงครามของทั้ง 2 ประเทศเท่านั้น แต่การปะทะกันของทั้งคู่ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอีกด้วย โดยเฉพาะกับประชาชนตาดำ ๆ ที่ไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับการถูกโจมตีจากสงครามในครั้งนี้เลย
และถึงแม้ว่าในภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะฉายแสงไปให้แก่เหล่าทหารหาญที่ร่วมรบในแต่ละสงคราม แต่หากลองสังเกตให้ดีภาพยนตร์แนวสงครามทุกเรื่องล้วนมีฉากหลังเป็นภาพการล้มตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งบางเรื่องก็มีการนำเสนอถึงชะตากรรมของประชาชนที่ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมรบในสงครามด้วย ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
โดยผลสุดท้ายที่สงครามที่โปรยทิ้งไว้ให้ ไม่มีสิ่งใดน่าอภิรมย์ยินดี ทุกอย่างที่เป็นผลพวงมาจากสงครามล้วนแล้วแต่น่าเศร้าสลด และชวนให้เราย้อนกลับไปดูถึงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทุกครั้ง ว่าเหตุใดเราจึงไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย
สิทธิ เสรีภาพ การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ความอยุติธรรมเนื่องจากระบบกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม อำนาจมืด ภาครัฐที่มีผลประโยชน์แอบแฝง เป็นหัวข้อที่เมื่อถูกหยิบยกมาพูดถึงเมื่อไร หลาย ๆ คนก็จะมีความรู้สึกร่วมทันที ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน เพราะมีไม่น้อยที่ต้องประสบพบเจอ หรือได้ยิน ได้รับรู้มาจากช่องทางต่าง ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ จึงทำให้เรื่องราวทางการเมืองเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่เสมอ และด้วยเหตุนี้ ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองนั้นได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
หนังออนไลน์ ดูฟรี ภาพยนตร์ทางการเมือง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าหนังการเมือง มักหยิบยกเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่รับรู้และไม่ต้องเสียเวลาในการทำความเข้าใจ โดยจะเล่าผ่านมุมมองของคนธรรมดา นักข่าว หรือสายลับ ที่ต้องเข้าไปพัวพันกับปัญหาการทุจริต การเมือง สงครามจากแนวคิดทางการเมืองในรูปแบบหนังแอ็กชัน แต่ก็มีไม่น้อยที่ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยคำพูดเฉือนคมสุดแยบคาย และทั้งหมดนี้ คุณจะได้พบใน 10 อันดับ หนังการเมืองน่าดู ที่เราได้คัดสรรให้ตอบโจทย์ความบันเทิงของคุณ เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาดูกันดีกว่าครับว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
เรื่องราวสุดเข้มข้นของกลเกมชิงอำนาจ การไต่เต้าสู่จุดสูงสุดของการเมือง ในหนังและซีรีส์การเมืองที่เลือกเฟ้นมาแต่เรื่องเด็ด ๆ ให้ตามไปดูกันได้แบบอินสุด ๆ
หากกล่าวถึงภาพยนตร์แนวสงคราม แล้วจะไม่กล่าวถึงเรื่อง Unbroken ก็คงไม่ได้ ภาพยนตร์อัตชีวประวัติของอดีตแชมป์กีฬาโอลิมปิก Louis Zamperini (นำแสดงโดย Jack O’Connell) ที่ได้นักแสดงสาวมากความสามารถแห่งวงการฮอลลีวูดอย่าง Angelina Jolie มากำกับให้ ตัวหนังจะเล่าเรื่องตั้งแต่ที่ Louis ยังเด็ก ไปถึงช่วงวัยที่เขาได้เข้าไปอยู่ในวงการนักวิ่งระดับชาติ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่สงครามได้พรากเอาการวิ่งไปจากเขา จากที่ต้องวิ่งบนลู่ กลับต้องมาวิ่งหนีตายในสนามรบ ซึ่งเขาต้องเผชิญหน้าทั้งเครื่องบินตกจนต้องลอยคอในทะเล และการถูกทหารญี่ปุ่นจับไปเป็นเชลย ในค่ายกักกัน ที่ซึ่งเขาและเพื่อนเชลยศึกคนอื่น ๆ ถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาส การต่อสู้ทางจิตวิญญาณที่แม้แต่นายทหารใหญ่อย่าง Mutsushiro Watanabe (นำแสดงโดย Takamasa Ishihara) ยังต้องยอมสยบให้ เรื่องราวของเขานับว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชมรวมถึงเชลยตัวจริงในเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี ในความไม่ยอมแพ้ต่อความอยุติธรรมที่เกิดจากสงคราม
อีกหนึ่งภาพยนตร์จากผู้กำกับสาวอย่าง Angelina Jolie กับเรื่อง First They Killed My Father เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากบันทึกของ “หลวง อัง” นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกัมพูชา-อเมริกัน ที่ต้องเผชิญชะตาชีวิตในช่วงกรุงพนมเปญแตก (1975) โดยตอนนั้นเธอมีอายุได้เพียง 5 ขวบ โดยในตอนนั้น ทางฝ่ายเขมรแดงคว้าชัยชนะจากสงครามกลางเมืองไปได้ จึงทำให้เธอและครอบครัว รวมถึงคนอื่น ๆ ต้องถูกกวาดต้อนไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และถึงแม้จะยังไม่ได้ดูหนังเต็มเรื่องก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเธอ ความเลวร้ายที่เธอต้องพบเจอ คือการถูกหลอกใช้ให้ต้องฝึกฝนเพื่อไปฝังกับระเบิดในป่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มองเห็นเด็ก ๆ เป็นคนเฉกเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังซ้ำเติมความเลวร้ายด้วยการทิ้งขว้างชีวิตที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ปีไปกับระเบิดที่ฝั่งเองกับมืออีกด้วย
สร้างจากเรื่องราวชีวิตจริงของทหารผ่านศึกชาวอังกฤษนามว่า Eric Lomax ที่เคยถูกกองทัพญี่ปุ่นต้อนมาจากสิงคโปร์เพื่อมาใช้แรงงานก่อสร้างทางรถไฟที่ประเทศไทย (ที่จังหวัดไหนคงเดาได้ไม่ยาก) แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ได้ถูกใช้แรงงานหนักเยี่ยงทาสอย่างคนอื่น ๆ ด้วยความสามารถทางวิศวกรรมศาสตร์ที่เขา แต่กระนั้น การแอบลักลอบประกอบวิทยุดักฟังก็ทำให้เขาต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ซึ่งชีวิตเขาขึ้นอยู่กับทหารล่ามชาวญี่ปุ่นนามว่า Takashi Nagase แม้สุดท้ายแล้วเขาจะมีชีวิตรอดมาได้จนแก่ แต่ความทรงจำอันเลวร้ายก็ยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่ เรื่องราวของ Eric ไม่เพียงแต่ทำให้เราเห็นฉากหลังของการใช้แรงงานเชลยศึกอย่างทิ้งขว้าง แต่ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่าร่องรอยของสงครามนั้นเป็นแผลลึกที่ไม่มีวันตกสะเก็ดได้ และยังคงทิ้งความเจ็บปวดชอกช้ำกัดกินความรู้สึกของเจ้าของร่างกายไปจนกว่าจะตาย
จากเสด็จพ่อ Quentin Tarantino ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งหนังสงครามที่ให้มากกว่าความระเบิดเถิดเทิงเหนือการคาดเดา ฉากหลังของการโต้กันไปมาระหว่างฝ่าย “The Basterds” ที่ชื่นชอบการไล่ล่าถลกหนังหัวเหล่าทหารนาซี ก็มีส่วนที่ทำให้เห็นว่าชีวิตคนธรรมดาคนหนึ่งได้รับผลกระทบอะไรจากสงครามบ้าง แม้ว่าจู่ ๆ จะมีฉากแอคชันบู๊ระห่ำเกิดขึ้นระหว่างเรื่องก็ไม่ได้ทำให้หนังเรื่องนี้เกินคาดไปเสียเท่าไร (เพราะคาดหวังมาแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้) อีกทั้งความเกินคาดที่คาดมาแล้วก็ไม่ได้กลบเกลื่อนความจริงที่ว่า ในทหารนาซีบางคนก็สนุกกับการตามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มากกว่าที่จะรู้สึกซื่อสัตย์และภักดีต่อการปฏิบัติตามคำสั่งอาจกล่าวได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเครื่องมือผ่อนปรนทางอารมณ์ในความเคียดแค้นที่ชาวยิวและคนอื่น ๆ มีต่อทหารนาซี โดยในฉากจบที่สาวชาวยิวที่เคยต้องหลบการตามล่าอยู่ใต้ถุนบ้านคนอื่น บัดนี้กลับยืนอยู่เหนือทหารนาซีทุกคน เพื่อสำเริงสำราญกับการมอดไหม้สังหารหมู่บรรดาทหารเหล่านั้น นับว่าเป็นที่น่าสะใจอย่างถึงที่สุด
อีกหนึ่งภาพยนตร์สงครามที่สร้างมาจากประสบการณ์จริงของ Chris Roessner นำแสดงโดยนักแสดงหนุ่มมากความสามารถอย่าง Nicholas Hoult เรื่องราวของพลทหารที่ไม่ได้เต็มใจไปสู้รบ แต่ที่ต้องเดินเข้าสู่สมรภูมิรบนั่นก็เพราะเขาต้องการทุนเพื่อไปเรียนต่อตัวหนังฉายภาพเรื่องราวของสงครามอิรักในช่วงต้น และภารกิจของพลทหาร ที่เมื่อมองข้ามกระสุนปืนและเขม่าควัน ก็จะพบว่าชีวิตหนึ่งนั้นที่เพียงแค่ต้องการทุนไปเรียนต่อต้องมากระเสือกกระสนดิ้นรน พยายามที่จะมีชีวิตรอดในสงครามที่ตัวเองไม่รู้อีโหน่อีเหน่ใด ๆ แม้ใครหลายคนจะบอกเขาเลือกหนทางนี้เอง ก็คงต้องยอมรับชะตากรรมที่เลือกไว้ แต่แล้วความตายเพียงวินาทีที่กระสุนปืนเฉียดหัวนั่นคือสิ่งที่พลทหาร ผู้ซึ่งในอีกฐานะหนึ่งก็คือคนธรรมดา ต้องมาประสบพบเจอจริง ๆ หรือ? หากเพียงแค่ไม่มีสงคราม ชีวิตของเพื่อนร่วมรบและตัวเขาเอง มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำให้มาเผชิญหน้ากับสงครามที่ไม่ควรจะเกิดเสียด้วยซ้ำ
ภาพยนตร์ว่าด้วยสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 Jarhead แม้จะไม่ได้เห็นฉากระเบิดตูมตามแบบแอคชันมันส์สะใจ เพราะหนังดำเนินเรื่องหมดไปกับชีวิตของเหล่าทหารใหม่ในค่ายเสียมากกว่า ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าไม่มีใครได้ออกไปรบกับข้าศึกศัตรูอย่างจริงจังกันเลยสักคน และถึงแม้ว่าในตอนท้ายจะมีเหตุให้ต้องออกไปรบจริง ๆ แต่ตัวเอกในเรื่องก็ไม่ได้จริง ๆ เพราะสงครามยุติไปแล้ว อาจนับว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องเสียสละชีวิตฝ่าสมรภูมิใด ๆ แต่อีกนัยหนึ่งที่กว่าสงครามจะยุติ มันก็ยังคงมีส่วนลึกของหนังที่เน้นย้ำเราอยู่ว่าในสงครามย่อมมีผู้บริสุทธิ์ตายอยู่เสมอ
อาจจะแปลกสักหน่อยที่มีเรื่อง The Foreigner อยู่ในลิสต์หนังสงครามด้วย แต่ก็ไม่อาจเลี่ยงได้ว่าสงครามทางการเมืองในภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่งผลให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์ต้องล้มหายตายจากไป ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นลูกสาวของตัวละครเอกในเรื่อง (นำแสดงโดยเฉินหลง) หนังสื่อสารกับเราโดยตรงว่า หากผลประโยชน์ทางการเมืองไม่ลงตัว มันย่อมมีชนวนมากมายที่รอระเบิดอยู่ ซึ่งในตอนเริ่มของหนังมันก็ระเบิดไปแล้วหนึ่งรอบ และชีวิตของประชาชนผู้ไม่เกี่ยวข้องถูกสังเวยไปกับปัญหาทางการเมืองนั้นและถึงแม้ว่าจะเป็นหนังออกแนวล้างแค้นเสียมากกว่า แต่วัตถุของการล้างแค้นก็ยังคงตอกย้ำผู้ชมทั้งเรื่องว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร สิ่งใดคือต้นตอของการตายของผู้บริสุทธิ์จริง ๆ
เบื้องหลังการเจรจา คือภาพของคนบริสุทธิ์ที่กำลังล้มตายไปทีละคน Munich – The Edge of War เล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นช่วงปี 1938 เมื่อฮิตเลอร์เตรียมจะบุกเชโกสโลวาเกีย ทำให้ทางรัฐบาลของ Neville Chamberlain พยายามทุกทางเพื่อหาทางออกอย่างสันติที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่รัฐของอังกฤษและนักการทูตเยอรมัน ต้องเดินทางไปมิวนิกเพื่อเข้าประชุมวาระฉุกเฉินครั้งนี้ ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือเกมการเมืองที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล แม้ฉากหน้าจะเป็นการเดินหมากเพื่อไม่ให้ฝ่ายตนเองเพลี่ยงพล้ำ แต่ในขณะเดียวกันคนดูก็รู้อยู่แก่ใจว่าภายนอกฐานทัพสั่งการ มีประชาชนกำลังล้มตายจากการถูกเข่นฆ่าไปมากมาย ซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาที่กำลังแบกรับกับผลของสงครามที่ขึ้นอยู่กับคนเพียงไม่กี่คน
คือภาพยนตร์สงครามที่สาดฉากแอคชันได้อย่างดุเดือด มีครบทุกรสชาติความระห่ำ มาครบทั้งระเบิดภูเขาเผากระท่อม โดยตัวหนังจะพาเราไปร่วมรบกับบรรดาทหาร 12 นาย ที่ต้องขี่ม้าไปรบในสมรภูมิที่เป็นภูเขาหินในอัฟกานิสถาน หนังดำเนินเรื่องไปตามขนบความเป็นหนังต่อสู้ คือสาดกระสุนกันไม่ยั้ง ภาพของเขม่าควันยังติดตา เสียงระเบิดและกระสุนปืนยังติดหู ยิ่งเป็นเรื่องที่อิงมาจากเรื่องจริงของกลุ่มทหารที่อาสาไปเป็นแนวหน้าหน่วยแรกเพื่อโจมตีกลุ่มตาลีบัน ยิ่งทำให้คนดูบันเทิงมากขึ้น แต่เบื้องหลังเสียงปืนและระเบิด ความบ้าระห่ำไม่กลัวตาย และความมันส์แบบไร้ขีดจำกัด คือภาพของกลุ่มชาวบ้าน ผู้ซึ่งเป็นประชาชนคนหนึ่งในประเทศ ต้องมาจับปืน ปาระเบิด จากชีวิตที่เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา กลับต้องมาเป็นทหารเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ด้วยเหตุแห่งสงครามที่ไม่อาจหาทางยุติได้
ปิดท้ายกันไปด้วยภาพยนตร์แนวสงครามที่ครองใจใครหลาย ๆ คนอย่าง Saving Private Ryan ซึ่งการดำเนินเรื่องนั้นก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับชื่อเรื่องของหนัง นั่นคือการช่วยเหลือพลทหาร Ryan ไม่ว่าจะต้องสูญเสียใครไปก็ตาม แต่ต้องพาพลทหารนายนี้กลับบ้านให้ได้ หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร ในการเสียสละชีวิตพลทหารคนอื่น ๆ มากถึง 8 คน เพื่อช่วยเหลือพลทหารหน้าละอ่อนเพียงคนเดียว แต่ความที่ดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผลนั้น กอปรกับฉากหลังระเบิดตูมตามแบบถึงพริกถึงขิง ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องกวาดรางวัลออสการ์ไปได้ถึง 3 รางวัล
ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เรียนรู้คุณค่าชีวิตของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเหตุผลที่ทหาร 8 นายต้องเดินทางไปตามพลทหาร Ryan คนสุดท้องกลับบ้าน ก็เพราะคนเป็นแม่จะต้องไม่สูญเสียลูกทุกคนไปในสงคราม การจำใจให้ลูกออกไปรบนั้นว่าเจ็บปวดแล้ว แต่การที่ลูกต้องตายในสมรภูมิรบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า และไม่แน่ว่าการที่ลูกคนสุดท้องได้กลับบ้านเพียงคนเดียวอาจเป็นความเจ็บปวดถึงขีดสุดที่ถูกบรรเทาความสูญเสียไปพร้อม ๆ กัน